Carbohydrate
![]() | ![]() | ![]() |
---|---|---|
![]() | ![]() | ![]() |
Carbohydrate คาร์โบไฮเดรต
เป็นสารประกอบอินทรีย์ที่มีธาตุ C,H,O (คาร์บอน,ไฮโดรเจน,ออกซิเจน) เป็นองค์ประกอบ มีอัตราส่วนระหว่างไฮโดรเจนกับออกซิเจน H:O=2:1 จึงเขียนสูตรอย่างง่ายว่า CH2O
คาร์โบไฮเดรตแบ่งได้ 3 ประเภท
1)น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว(monosaccharide) เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กที่สุดของคาร์โบไฮเดรตที่เผาผลาญในระดับเซลล์และให้พลังงาน ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อย มีสูตรโมเลกุล C6H12O6
มี 3 ชนิดคือ
1.กลูโคส(Glucose) – หรือน้ำตาลเดกซ์โทรส (dextrose) พบมากในองุ่นจึงเรียกกลูโคสว่า “น้ำตาลองุ่น” ใช้เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุด มีความหวานรองลงมาจากน้ำตาลฟรักโทส น้ำตาลกลูโคสเป็นส่วนประกอบภายในเลือดจึงมักเรียกกันว่า blood sugar โดยในสภาวะปกติมีประมาณ 80-100 mg ต่อเลือด 100 cm3 หากปริมาณกลูโคสในเลือดสูงขึ้นจะถูกเปลี่ยนให้เป็นไกลโคเจนเก็บไว้ในตับและกล้ามเนื้อ แต่หากร่างกายจะใช้พลังงานก็จะสามารถนำไกลโคเจนเปลี่ยนกลับไปเป็นกลูโคสเพื่อนำไปใช้งานได้ในระบบหมุนเวียนเลือด และหากยังมีกลูโคสอยู่มากก็จะถูกเก็บไว้ในรูปของ ไขมันสะสม อยู่ในส่วนต่างๆของร่างกาย หากร่างกายขาดแคลนก็จะดึงไกลโคเจนมาใช้ก่อน หากไกลโคเจนถูกใช้หมดก็จะนำไขมันมาใช้ต่อ
น้ำตาลกลูโคส 1 โมเลกุลเมื่อนำไปใช้ในกระบวนการหายใจจะสลายให้พลังงานออกกประมาณ 277 กิโลแคลอรี่ หรือมาณ 38 ATP
2.ฟรุคโตส(Fructose) – เป็นน้ำตาลที่มีรสหวานมากที่สุด พบมากในน้ำผึ้ง มะม่วง กล้วย และ น้ำอสุจิ เพราะเป็นอาหารหลักของตัวอสุจิ
3.กาแลคโตส(Galactose) – เป็นน้ำตาลที่มีความหวานเป็นอันดับสาม พบมากจากการย่อยน้ำนมและการย่อยวุ้น(agar) มีประโยชน์ในด้านการวินิจฉัยโรค
2)น้ำตาลโมเลกุลคู่(disaccharide) คือ น้ำตาลที่เกิดจากน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว 2 โมเลกุลมารวมกันเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ 1 โมเลกุล โดยได้กำจัดน้ำออกไป 1 โมเลกุล เรียกปฏิกิริยานี้ว่า ดีไฮเดรชั่น(dehydration) มีสูตรโมเลกุลคือ C12H22O11
condenzation
C6H12O6 + C6H12O6 C12H22O11 + H2O
Glucose + Glucose Maltose : เมล็ดพืชงอกใหม่
Glucose + Galactose Lactose : น้ำนม
Glucose + Fructose Sucrose : อ้อย,ตาล,มะพร้าว,บีท
1.มอลโตส(Maltose) – เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ที่เกิดจากการรวมตัวของกลูโคส 2 โมเลกุล พบมากในข้าวมอลต์ ข้าวเจ้า และข้าวเหนียว
2.ซูโครส(Sucrose) – หรือที่เรียกว่าน้ำตาลทราย,น้ำตาลอ้อย เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ที่เกิดจากการรวมตัวของกลูโคสกับฟรักโทส พบมากในอ้อย หัวบีท และในน้ำตาลมะพร้าว
3.แลคโตส(Lactose) – เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ที่เกิดจากการรวมตัวของกลูโคสกับกาแลคโทส พบมาในน้ำนม
3)คาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่(polysaccharide) หรือน้ำตาลโมเลกุลใหญ่ ไม่เป็นผลึก ไม่มีรสหวาน เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวมากกว่า 10 โมเลกุลขึ้นไป ส่วนมากจะพบเป็นร้อยๆโมเลกุล พบมาที่สุดในธรรมชาติ มีสูตรทั่วไปคือ (C6H10O5)n มีขนาดโมเลกุลใหญ่ มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่สูตรโครงสร้างต่างกัน
การใช้หน้าที่เป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1.เป็นอาหารสะสม ได้แก่ แป้งและไกลโคเจน
2.เป็นโครงสร้างของร่างกาย ได้แก่ เซลลูโลสและไคติน
3.เป็นส่วนประกอบของเซลล์ ได้แก่ แอนติเจน กรดไฮยาลูโรนิก และ เฮพาริน
แป้ง(starch) – เป็นน้ำตาลโมเลกุลใหญ่ที่ประกอบไปด้วยกลูโคสหลายร้อยโมเลกุลมาต่อกัน พบมาในเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าวชนิดต่างๆ หัวเผือก และ หัวมัน แป้งโมเลกุลของสารประกอบ 2 ชนิด คือ
Amilose เกิดจากโมเลกุลของกลูโคสจำนวนมากมาเชื่อมต่อกันโดยตรงเป็นสายเดี่ยวๆยาวๆ ไม่มีกิ่งแขนงแยกออก ละลายน้ำร้อนได้ดี
Amylopactin เกิดจากโมเลกุลขอองกลูโคสจำนวนมากเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว มีแขนงแยกออกด้านข้าง ไม่ละลายในน้ำร้อน
ไกลโคเจน(glycogen) – เป็นสารที่พบเฉพาะในเซลล์สัตว์ เช่น ที่ตับและกล้ามเนื้อ โครงสร้างคล้ายอะไมโลเพ็กตินมาก ต่างกันที่ไกลโคเจนมีโมเลกุลสายสั้นกว่าแต่มีกิ่งแขนงแยกออกมามากกว่า ทำปฏิกิริยากัยไอโอดีนเกิดสีแดง
เซลลูโลส(cellulose) – พบมากที่สุดในธรรมชาติ ประกอบด้วยกลูโคสประมาณ 3,000 หน่วยมาจับต่อกันเป็นสายและมีการแตกแขนง พบเฉพาะในพืช ไม่ละลายน้ำ ไม่ถูกย่อยโดยน้ำย่อยจากกระเพาะและลำไส้ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่จะย่อยได้ในสัตว์กินพืชบางชนิดจึงทำให้สัตว์กินพืชใช้เซลลูโลสเป็นอาหารได้ เซลลูโลสเป็นโครงสร้างของผนังเซลล์พืชและสาหร่ายสีเขียว
ไคติน(chitin) – เป็นโครงสร้างของเปลือกกุ้ง กั้ง ปู และแมลง
เฮพาริน(heparin) – เป็นสารที่ทำให้เลือดไม่แข็งตัว พบในตับ,ปอด,ผนังของเส้นเลือดแดง
สารที่มีรสหวานแต่ไม่จัดเป็นคาร์โบไฮเดรต
1.ขัณฑสกร - มีสูตรเป็น C6H4SO2CONH เป็นผลึกสีขาว ไม่มีคุณค่าทางอาหาร มีความหวานประมาณ 550 เท่าของน้ำตาลทราย พบในน้ำอัดลม น้ำหวาน ผลไม้แช่อิ่ม
2.ไซคลาเมต – มีสูตรเป็น C6H11NHSO3Na เป็นผลึกสีขาว มีความหวานประมาณ 3- เท่าของน้ำตาลทราย
3.ซอร์บิตอล – มีสูตรเป็น C6H14O6 เป็นผงหรือเกล็ดสีขาว มีความหวานประมาณ 2/3 เท่าของน้ำตาลทราย
ความสำคัญของคาร์โบไฮเดรต
1.สิ่งมีชีวิตนำไปสลายให้พลังงานมากที่สุดต่อวันโดยเฉพาะกลูโคส คาร์โบไฮเดรต 1 gram ให้พลังงานประมาณ 4 กิโลแคลอรี่
2.สะสมไว้ใช้เมื่อร่างกายขาดแคลนอาหาร เช่น พืชเก็บไว้ในรูปของแป้ง สัตว์เก็บไว้ในรูปของไกลโคเจน
3.เมื่อเหลือใช้จะสะสมไว้โดยเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บสะสมไว้ได้อีก
4.เป็นโครงสร้างสิ่งมีชีวิต เช่น เซลลูโลสเป็นโครงสร้างของผนังเซลล์ในพืชและสาหร่าย,ไคตินในเปลือกของสัตว์พวกกุ้ง กั้ง และ แมลง เป็นต้น
สรุป คาร์โบไฮเดรต
- เป็นสารสะสมพลังงานในสิ่งมีชีวิต
- ให้คาร์บอนสำหรับสังเคราะห์องค์ประกอบของเซลล์
- เป็นองค์ประกอบของเซลล์บางชนิดและเนื้อเยื่อ
คาร์โบไฮเดรตที่พบทั่วไปในชีวิตประจำวัน ได้แก่
น้ำตาล (sugar)
แป้ง (starch) และเซลลูโลส (cellulose) ส่วนใหญ่พบในพืช
ไกลโคเจน (glycogen) พบในเซลล์เนื้อเยื่อ ตับ น้ำไขข้อในสัตว์ และผนังเซลล์
คาร์โบไฮเดรต(carbohydrate) อาจเรียกว่า แซ็กคาไรต์(saccharide) ซึ่งมาจากภาษาละติน saccharon แปลว่าน้ำตาล(sugar) ในสูตรโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต จะประกอบด้วยหมู่ไฮดรอกซิล(hydroxyl, -OH) หลายๆหมู่และหมู่แอลดีไฮน์(aldehyde group, -CHO) หรือหมู่คีโตน(ketone group,-ClHO) หรือกล่าวว่า คาร์โบไฮเดรตจัดเป็นโพลิไฮดรอกซิแอลดีไฮด์หรือคีโตน
คาร์โบไฮเดรตแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ monosaccharide,disaccharide,และpolysaccharide
การทดสอบคาร์โบไฮเดรต มี 2 วิธีดังนี้
1.ใช้สารละลายไอโอดีน (สีน้ำตาลเหลือง) – ทดสอบน้ำตาลโมเลกุลใหญ่ที่เป็นอาหารสะสม
เช่น แป้ง + สารละลายไอโอดีน สีน้ำเงิน(ม่วงดำ)
ไกลโคเจน + สารละลายไอโอดีน สีน้ำตาลแดง
เซลลูโลส + สารละลายไอโอดีน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
2.ใช้สารละลายเบเนดิกต์ (สีฟ้า) – ทดสอบน้ำตาลโมเลกุลเล็กๆ
เช่น กลูโคส
กาแลคโตส
ฟรุคโตส + สารละลายเบเนดิกต์ (ต้มร้อน)ตะกอนสีแดงอิฐ
มอลโตส
แลคโตส
ซูโครส + สารละลายเบเนดิกต์ (ต้มร้อน) สารละลายสีเขียว
ถ้านำซูโครสกับกรดเกลือ(กรดไฮโดรคลอริก) มาเจือจางก่อนแล้วค่อยเติมสารละลายเบเนดิกต์ นำไปต้มร้อนจึงจะได้ตะกอนสีแดงอิฐ